การท่องเที่ยวเป็นสาขาบริการที่ไทยสามารถสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้สูงที่สุดในอาเซียน

ธุรกิจไทยต้องก้าวออกไปนอกประเทศมากขึ้น โดยใช้ตลาดอาเซียนเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างความเข้มแข็งซึ่งยังเป็นระดับที่ไทยค่อนข้างได้เปรียบ ก่อนการรวมตลาดจะก้าวไปสู่ระดับที่ใหญ่ขึ้นเช่น ASEAN+3 ซึ่งจะต้องเจอการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากธุรกิจในจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ทั้งนี้ เราควรจะเริ่มต้นการ “ใช้แก่นความสามารถหรือใช้สิ่งที่เราเก่งอย่างเต็มรูปแบบ” พร้อมทั้งหาช่องทางจากกระแสที่จะเกิดขึ้นจากการรวมตัวเป็น AEC และลักษณะของตลาดในอาเซียน AEC จะยิ่งเป็นโอกาสที่มากขึ้นสำหรับธุรกิจที่ไทยมีความได้เปรียบและเป็นจุดแข็งของไทยอยู่แล้วในปัจจุบัน ได้แก่ ธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ธุรกิจผลิตยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์และธุรกิจด้านการผลิตอาหาร

การท่องเที่ยวเป็นสาขาบริการที่ไทยสามารถสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้สูงที่สุดในอาเซียน  โดยในปีปกติของการท่องเที่ยวที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกมากนัก ไทยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 18000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สูงกว่ามาเลเซียซึ่งมีรายได้สูงเป็นอันดับสองประมาณ 20% และยังมีข้อได้เปรียบจากที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่รู้จักจำนวนมาก จึงมีแนวโน้มที่จะตักตวงโอกาสจากการเติบโตของกระแสการท่องเที่ยวเอเชียที่จะได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคตได้มากทั้งนี้ the World  Tourism Organization คาดการณ์ไว้ว่าอีก 10 ปีข้างหน้าสัดส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวทวีปเอเชียแปซิฟิกจะเพิ่มขึ้นเป็น 27% จากประมาณ 20% ในปัจจุบัน สวนทางกับสัดส่วนนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเที่ยวยุโรปที่จะลดลงเหลือ 46% หรือจากประมาณ 52% ในปัจจุบัน

การกลายเป็นตลาดเดียวกันของอาเซียนสามารถต่อยอดให้ธุรกิจท่องเที่ยวของไทยมีช่องทางหารายได้เพิ่มเติม เช่น การขยายแพคเกจทัวร์เป็นแพคเกจท่องเที่ยวอาเซียน แทนการจัดแพคเกจเพียงในประเทศไทยโดยอาศัยการสร้างเครือข่ายบริษัทตัวแทนท่องเที่ยวกับประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยกัน หรือแม้แต่ลงทุนตั้งสาขาหรือสำนักงานย่อยในต่างประเทศ โดยไทยจะมีข้อได้เปรียบจากการมีแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่รู้จักจำนวนมากที่สุดในอาเซียนและสามารถใช้ชื่อเสียงดังกล่าวดึงดูดนักท่องเที่ยวก่อนต่อยอดขยายแพคเกจเดินทางไปสู่ประเทศอื่นๆ ในอาเซียนต่อได้

ธุรกิจด้านการผลิตอาหารแปรรูป และธุรกิจในอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนมีแนวโน้มได้ประโยชน์ค่อนข้างมาก จากความได้เปรียบทางด้านการผลิตและการค้าที่ไทยมีสัดส่วนส่งออกสูงที่สุดในอาเซียนโดยสัดส่วนมูลค่าการส่งออกถึง 77% และ 61% ตามลำดับ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์และชิ้นส่วน ที่มีความได้เปรียบจากการเป็นฐานการผลิตขนาดใหญ่คือความพร้อมทางโครงสร้างพื้นฐาน ความร็ความสามารถของแรงงานที่อยู่ในอุตสาหกรรม จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ไทยได้รับประโยชน์จากตลาดที่ใหญ่ขึ้นและการแข่งขันที่อาจจะสูงขึ้น โดยเฉพาะการต่อยอการลงทุนสำหรับกระแสความนิยมรถยนต์ประเภทต่างๆ ในอนาคต ตัวอย่างที่เห็นได้ง่าย คือ กระแสความนิยมรถยนต์ประหยัดพลังงานหรืออีโคคาร์ ที่มีแผนการลงทุนในไทยแล้วประมาณ 34,000 ล้านบาท ในขณะที่อินโดนีเซียซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์โดยรวมมากเป็นอันดับสองรองจากไทยในอาเซียนอยู่ในขั้นกำลังใช้แผนส่งเสริมการลงทุนผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงาน แต่ยังไม่มีการกำหนดเงื่อนไขการลงทุนและสเปกของรถประหยัดพลังงานออกมาอย่างชัดเจน